
หลังจากที่ โรมัน อบราโมวิช โดนคว่ำบาตรจากผู้คนทั่วสารทิศ เพราะ เขาเป็นมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของ ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำกองทัพรัสเซียบุกเข้าโจมตี ประเทศยูเครน อบราโมวิช จึงต้องยอมจำนนประกาศขายเทคโอเวอร์ สโมสรเชลซี ที่เป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่เขาหวงแหนมากที่สุดออกไปจากอ้อมอก เพื่อลดผลกระทบต่อ สโมสรเชลซี ที่จะตามมา และออกแถลงการณ์ว่า จะนำรายได้ที่ได้จากการขายสโมสรแห่งนี้ ไปช่วยเหลือชาวยูเครนที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม และตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือในระยะยาว ซึ่งในภายหลังได้มีกลุ่มทุน และ มหาเศรษฐี ที่สนใจจะเข้ามาเทคโอเวอร์ต่อจากเขามากมาย และได้ยื่นข้อเสนอไปยัง เรน กรุ๊ป (Raine Group) ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการขาย สโมสรเชลซี
จากรายงานของ The Times ระบุว่า มีกลุ่มทุน มหาเศรษฐี และผู้ที่สนใจ ยื่นข้อเสนอไปกว่า 100 รายด้วยกัน ที่ต้องการเข้าซื้อ และครอบครอง สโมสรที่ได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ยุโรป และ เป็นแชมป์สโมสรโลกฤดูกาลล่าสุด โดย Bloomberg News ได้รายงานว่า โรมัน อบราโมวิช ซื้อสโมสรแห่ง สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาด้วยมูลค่าประมาณ 140 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 6,300 ล้านบาท ในปี 2003 แต่เขาได้ตั้งราคาขายเทคโอเวอร์ไว้สูงลิบด้วยราคา 3,000 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 135,000 ล้านบาท เนื่องจาก 19 ปีที่ผ่านมานั้น สโมสรสิงห์บลู ได้ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด และคว้าแชมป์มาอย่างมากมายกว่า 21 รายการด้วยกัน โดยกลุ่มทุน และ มหาเศรษฐี ที่ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อเข้าเทคโอเวอร์ต่อจาก อบราโมวิช นั้นเรียกได้ว่ามีประวัติและทรัพย์สินไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

กลุ่มทุน และ มหาเศรษฐี ที่เป็นตัวเต็งในการเทคโอเวอร์ เชลซี ต่อจาก อบราโมวิช
สำนักข่าว The Times รายงานว่า ทาง เรน กรุ๊ป ธนาคารที่ได้รับมอบหมายจาก โรมัน อบราโมวิช ให้ดูแลการเทคโอเวอร์ในครั้งนี้ ต้องการตัดตัวเลือกที่มีกว่า 100 ราย ออกให้เหลือเพียง 3 รายเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีเงินทุนสำรองกว่า 50 ล้านปอนด์ ไว้ใช้ดำเนินงานกิจการภายในของสโมสร ซึ่งกลุ่มทุนตัวเต็งที่ทาง The times วิเคราะห์ว่า คือ กลุ่มทุนที่น่าจะเข้ารอบ มีดังต่อไปนี้
กลุ่มทุน Boehly-Wyss-Goldstein
เป็นกลุ่มทุนรวม 3 มหาเศรษฐี ได้แก่ ทอดด์ โบห์ลี, ฮันส์ยอร์ก ไวส์ และ โจนาธาน โกลด์สไตน์ ที่ทางสำนักข่าว The Times ชูให้เป็นเต็งหนึ่งที่มาแรงที่สุด เนื่องจาก ทอดด์ โบห์ลี มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอเมริกา CEO ของบริษัท เอลดริดจ์ อินดัสทรี (Eldridge Industries) เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านทำทีมกีฬามาอย่างโชกโชน เนื่องจากเขาเป็นเจ้าของทีมเบสบอล แอลเอ ดอดเจอร์ส , ทีมบาสเกตบอลชาย แอลเอ เลเกอร์ส และ ทีมบาสเกตบอลหญิง แอลเอ สปาร์คส และ โบห์ลี ยังเคยขอเทคโอเวอร์ สโมสรเชลซี มาแล้วเมื่อปี 2019 แต่ในครั้งนั้น อบราโมวิช ปฏิเสธไป
ฮันส์ยอร์ก ไวส์ มหาเศรษฐีชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ซึ่งมีความคุ้นเคยกับ อบราโมวิช อย่างแน่นเฟ้น เขาคือผู้ที่โดนแพร่ข่าวไปทั่วว่า อบราโมวิช ขอให้เขามาเทคโอเวอร์ สโมสรเชลซี ในตอนที่มีข่าวลือในช่วงแรกๆ โดย ไวส์ เป็นมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของด้านเวชภัณฑ์ยา และเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท ซินเธส (Synthes) สหรัฐอเมริกา ก่อนจะขายให้กับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ทำให้เขามีทรัพย์สินกว่า 5,000 ล้านปอนด์
โจนาธาน โกลด์สไตน์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ เป็น CEO ของบริษัท เคน อินเตอร์เนชันแนล (Cain International) บริษัทด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ก็ได้ร่วมจับมือเป็นพันธมิตรกับ โบห์ลี และ ไวส์ ในครั้งนี้ ถึงแม้เจ้าตัวจะเป็นแฟนบอลของทีม ทอตนัม ฮอตสเปอร์ ก็ตาม
ซึ่งมหาเศรษฐีทั้ง 3 คนนี้ มี แดเนียล ฟิงเคิลสไตน์ คอลัมนิสต์ประจำสำนักพิมพ์ The Times และ บาร์บาร่า ชาโรน ผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทั้ง 2 คนนี้เป็นที่ปรึกษาให้กับพวกเขา ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สำคัญ และได้เปรียบอย่างมาก เนื่องจาก ที่ปรึกษาทั้ง 2 ท่านนี้ เป็นแฟนบอลที่ถือตั๋วรายปีของ เชลซี แน่นอนว่า พวกเขาย่อมมีความเข้าใจความเป็น เชลซี รวมถึงวิถีของสโมสรเป็นอย่างดี และลึกซึ้งอย่างมาก ซึ่งมีรายงานมาว่า กลุ่มทุน Boehly-Wyss-Goldstein ได้ยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์ให้กับทาง เรน กรุ๊ป ด้วยมูลค่ากว่า 2,000-2,500 ล้านปอนด์ และทาง The Times วิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นกลุ่มทุนที่ได้รับการตอบรับในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มทุนที่มีประสบการณ์ในด้านการทำทีมกีฬา และมีองค์ประกอบอื่นๆมาสนับสนุนอย่างเพียบพร้อมทุกด้าน
กลุ่มทุน เซอร์มาร์ติน บรอจตัน และ ลอร์ด เซบาสเตียน โค
เซอร์มาร์ติน บรอจตัน อดีตประธานสายการบินบริติช แอร์เวย์ส (British Airways) และเคยดำรงตำแหน่งเป็น ประธานสโมสรลิเวอร์พูล อีกด้วยเมื่อปี 2010 แม้จะดำรงตำแหน่งได้เป็นช่วงเวลาไม่นานนักก็ตาม แต่ก็เป็นที่รู้จักของแฟนลูกหนังเป็นวงกว้าง เขาได้ร่วมทุนกันกับ ลอร์ด เซบาสเตียน โค อดีตผู้อำนวยการโอลิมปิกลอนดอน ปี 2012 และ ในขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็น ประธานกรีฑาโลก คนปัจจุบัน มีข่าวลือมาว่าพวกเขาทั้งสองได้เงินทุนมาจาก ผู้สนับสนุนของพวกเขาทั้งใน สหราชอาณาจักร และใน สหรัฐอเมริกา The times วิเคราะห์ว่า พวกเขามีภาพลักษณ์ทางด้านกีฬาที่ดี อีกทั้ง 2 คนนี้ ยังเป็นแฟนบอลของ สิงโตน้ำเงินคราม ตัวยงอีกด้วย ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นที่น่าจับตามองอีกหนึ่งกลุ่มทุนเลยทีเดียว
กลุ่มทุน นิก แคนดี้ และ พันธมิตรผู้ร่วมทุน
นิก แคนดี้ เป็นมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1,500 ล้านปอนด์ และเป็นแฟนบอลตัวยงที่ถือตั๋วรายปีของ เชลซี อีกด้วย สำนักข่าว Telegraph และ The Guardian รายงานเหมือนกันว่า แคนดี้ ได้ยื่นข้อเสนอไปที่ เรน กรุ๊ป แล้วกว่า 2,000 ล้านปอนด์ และได้ชักชวนกลุ่มทุนทางด้านอุตสาหกรรมกีฬาและสื่อ จากประเทศเกาหลีใต้อย่าง แคทาลิน่า คิม CEO ของบริษัท ซี แอนด์ พี สปอร์ตส กรุ๊ป (C&P Sports Group) เข้าร่วมในครั้งนี้ โดยตั้งชื่อกลุ่มทุนในครั้งนี้ว่า เดอะ บลู ฟุตบอล คอนซอร์เทียม (The Blue Footbal Consortium) และด้วยภาพลักษณ์ที่เขาถึงง่าย และเป็นแฟนบอลของเชลซีอย่างเหนียวแน่นของ แคนดี้ นั้น สื่ออังกฤษรายงานว่า เป็นอีกกลุ่มทุนที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน
กลุ่มทุนอื่นๆ
กลุ่มทุนอื่นๆที่ยื่นเข้ามาขอเทคโอเวอร์ สโมสรเชลซี ที่น่าสนใจ ได้แก่
• โธมัส ริกเก็ตส์ เจ้าของทีมเบสบอล ชิคาโก คับส์ จับมือร่วมกับ เคน กริฟฟิน ผู้ก่อตั้งและเป็น CEO ของบริษัทลงทุนอเมริกา ชื่อว่า ซิทาเดล แอสเซ็ต แมเนจเมนต์
• ซาอุดี มีเดีย กรุ๊ป (Saudi Media Group) กลุ่มทุนจากประเทศตะวันออกกลาง มี โมฮาเหม็ด อัลเคเรจี เป็น CEO และเขายังเป็นแฟนบอล เชลซี อีกด้วย โดยมีข่าวว่าเขายื่นข้อเสนอไปกว่า 2,700 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 116,100 ล้านบาท
• จอช แฮร์ริส มหาเศรษฐีชาวอเมริกา เป็นผู้ถือหุ้นใน ทีมบาสเกตบอล NBA , ทีมฮอกกี้น้ำแข็ง NHL และสโมสรฟุตบอลคริสตัล พาเลซ ใน พรีเมียร์ลีก
• วู้ดดี้ จอห์นสัน มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกา และอดีตทูตอเมริกาประจำอังกฤษ ในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นเจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอล ทีม นิวยอร์ก เจ็ตส์ แห่งศึกอเมริกันฟุตบอล NFL
ซึ่งผู้ที่ยื่นข้อเสนอมาทั้งหมด ทาง เรน กรุ๊ป จะทำการพิจารณาผู้ที่ผ่านเกณฑ์ให้เหลือเพียงแค่ 2-3 กลุ่มเท่านั้น เพื่อให้ทางตัวแทนของ สโมสรเชลซี ตัวแทนจากพรีเมียร์ลีก และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ได้พิจารณาร่วมกันอีกครั้ง และต้องรอลุ้นว่า กลุ่มทุนใดที่จะได้เข้ามาเป็นเจ้าของคนใหม่ของ สโมสรเชลซี ต่อไป