
รีซ เจมส์ (Reece James) เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ในปี 1999 ปัจจุบันเขามีอายุ 22 ปี เจมส์ เกิดและเติบโตในเมือง เรดบริดจ์ เกรทเตอร์ เป็นเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของ กรุงลอนดอน เจมส์ เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวของนักฟุตบอล โดย ไนเกล เจมส์ พ่อของเขาซึ่งมีเชื้อชาติเป็นชาวแอฟริกัน เป็นอดีตนักฟุตบอล และเป็นโค้ชของทีมฟุตบอลในท้องถิ่น เขาจึงได้รับการปลูกฝัง และฝึกฝนทักษะทางด้านฟุตบอลมาตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 4 ขวบ โดย รีซ เจมส์ มีพี่ชายชื่อ โจชัว เจมส์ และ น้องสาวชื่อ ลอว์เรน เจมส์ ซึ่ง ลอว์เรน ก็ยังเป็นนักฟุตบอลหญิงของ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกด้วย
ซึ่ง รีซ เจมส์ ได้ฝึกฝนทักษะทางด้านฟุตบอลกับพ่อของเขาเสมอ ที่สวนหลังบ้านในตอนเย็นหลังเลิกเรียน หรือในสุดสัปดาห์เป็นประจำ และ รีซ เจมส์ ก็ชื่นชอบการเล่นฟุตบอลเอามากๆเลยทีเดียว ซึ่งในบางครั้งเขาก็ได้แอบเฝ้าดูทักษะการเล่นของนักเตะรุ่นพี่ และนำเทคนิคต่างๆที่เขาเห็นกลับมาฝึกซ้อมด้วยตนเองอยู่เสมอ นอกจากนี้ รีซ เจมส์ ยังมีนักเตะที่ชื่นชอบอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด , จอห์น เทอร์รี่ และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตำนานนักเตะจาก เชลซี เป็นไอดอลที่เขามักเอาเป็นแบบอย่างอีกด้วย

รีซ เจมส์ เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการเข้าสู่ทีมเยาวชนท้องถิ่น
ในปี 2005 เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ เขาได้เข้าสู่ทีมเยาวชนในท้องถิ่นอย่าง สโมสรคิว ปาร์ค เรนเจอร์ (Kew Park Ranger) และเป็นแข้งตัวน้อยที่สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ เนื่องจาก รีซ เจมส์ เป็นนักเตะที่มีไหวพริบดี อีกทั้งเขายังสามารถ ดึงลูกบอลมาตั้งเตะได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย จึงทำการเล่นที่น่าทึ่งของเขา เข้าตาแมวมองจาก เชลซี ที่แอบไปเฝ้ามองการแข่งขันของเขาอยู่เป็นประจำ
รีซ เจมส์ กับเส้นทางลูกหนังในอคาเดมี ค็อบแฮม ของ สโมสรเชลซี
จากนั้นในปี 2006 เมื่อเขาอายุได้ 7 ขวบ เขาก็ได้รับการทาบทามให้เข้าสู่ อคาเดมีฝึกซ้อมชื่อดังของเชลซี อย่าง ค็อบแฮม อคาเดมีที่ผลิตนักเตะชื่อดัง ชั้นนำ สู่วงการลูกหนังมากมาย จากการพัฒนาของ โรมัน อบราโมวิช ผู้ที่เข้ามาเทคโอเวอร์ และเป็นเจ้าของสโมสรในขณะนั้น โดยเขามีเพื่อนร่วมรุ่นที่เติบโตมาเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ เมสัน เมาท์ , มาร์ค เกฮิ , เจค็อบ แมดดอกซ์ , เทรโวห์ ทอม ชาโลบาห์ เป็นต้น
รีซ เจมส์ พยายามฝึกฝน และฝึกซ้อมอย่างหนักใน ค็อบแฮม แล้วเนื่องจากเขามีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปในช่วงวัย 13 ปี ทำให้เขามักมีปัญหาในการเล่นตลอดเวลา 90 นาที จนเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปก่อนเขา แต่เขาก็ไม่ได้ย่อท้อ ยังคงฝึกฝนทักษะและความแข็งแกร่งอย่างอดทนและมุมานะ กับโค้ชและทีมสตาฟใน ค็อบแฮม อย่างหนัก ซึ่งในช่วงแรก เขาลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า ก่อนจะขยับขยายไปเล่นในตำแหน่ง กองกลาง และ กองหลัง ตามลำดับ และได้ลงเล่นให้กับทีมเยาวชนครั้งแรกในฤดูกาล 2015-16
จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี 2017 ฤดูกาล 2017-18 ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี เขาได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนเป็น กัปตันทีมเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี (U-18) จนสามารถพาทีมคว้ารางวัล ชนะเลิศในการแข่งขัน เอฟเอ ยูธ คัพ 2017 มาครองได้อย่างสำเร็จ โดยสามารถเอาชนะ สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาได้ด้วยสกอร์ 6-2 นอกจากนี้ เขายังพาทีมคว้าแชมป์มาได้อีกสองรายการด้วยกัน จนเขาได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2017-18 อีกด้วย ซึ่งในปีนี้นั่นเองที่ รีซ เจมส์ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพฉบับแรกกับ สโมสรเชลซี และสัญญายาวไปจนจบฤดูกาล 2018-19

After FA Youth Cup Final 2nd Leg match between Arsenal U18 against Chelsea U18 at Emirates stadium, London England on 30 April 2018 (Photo by Kieran Galvin/NurPhoto via Getty Images)
รีซ เจมส์ กับเส้นทางลูกหนังในทีมชุดใหญ่ของ เชลซี
จนกระทั่งในช่วงซัมเมอร์ ปี 2018 ในขณะที่เขาอายุได้ 19 ปี เขาได้ต่อสัญญากับ สโมสรเชลซี ในระยะยาวถึง 4 ปี ก่อนที่จะถูก สโมสรวีแกน แอตเลติก (Wigan Athletic) ซึ่งขณะนั้นเป็นสโมสรในลีกแชมเปี้ยนชิพ โดยเขาเริ่มลงเล่นในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งเขาได้ระเบิดฟอร์มออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นพลุแตกที่ วีแกน โดยในเดือนมีนาคม ปี 2019 เจมส์ ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของศึก แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งในฤดูกาล 2018-19 นี้ เขาสามารถคว้ารางวัลมาได้ทั้งหมด 3 รางวัล รวมไปถึงได้รับ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี อีกด้วย ซึ่งนับว่าเขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า เขาเก่งกาจเช่นไร

ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2019 เขาได้รับบาดเจ็บตรงข้อเท้า จากการลงเล่นในระดับทีมชาติ จนกระทั่งในเดือนกันยายน ปี 2019 ในฤดูกาล 2019-20 เขาได้กลับมาลงเล่นในเกมแรกกับ สโมสรเชลซี อีกครั้ง และเขาก็ไม่ได้ทำให้ ทัพสิงห์บลู ต้องผิดหวัง เนื่องจากในศึก คาราบาว คัพ เกมที่พบกับ สโมสรกริมส์บี้ ทาวน์ เขาสามารถทำประตูแรกของเขาให้กับ เชลซี ได้อย่างสวยงาม จากการยิงในระยะไกล 20 หลา

โดยในอาทิตย์ถัดไป เจมส์ ได้ลงเล่นในฐานะนักเตะตัวจริงในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดที่ต้องไปเยือน สโมสรลีลล์ และเขาได้แสดงศักยภาพด้วยการเล่นบุกเกมรุก จากตำแหน่งปีกหลังฝั่งขวาได้อย่างยอดเยี่ยม จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมสามารถเก็บชัยชนะมาได้ในเกมนี้
ซึ่งเกมที่เป็นเหมือน จุดแจ้งเกิดของ เจมส์ กับ เชลซี ก็คือ เกมที่พบกับ สโมสรอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งในตอนแรก เชลซีเป็นฝ่ายตามอยู่ 4-1 ซึ่ง เจมส์ นั้นเองที่เป็นฮีโร่ ซัดบอลเข้าประตู พาทีมตีเสมอมาได้ 4-4 ซึ่งในเกมนี้ เจมส์ ยังสามารถสร้างสถิติให้กับตัวเขาเองได้อีกด้วยคือ นักเตะที่อายุน้อยที่สุดของ สโมสรเชลซี ที่สามารถทำประตูได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งทำให้แฟนบอลใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ฉลองชัยกันอย่างสุดเหวี่ยงเลยทีเดียว

ซึ่งในฤดูกาล 2019-20 ของ เจมส์ นี้ เขามักเป็นที่ไว้ใจให้ลงสนามอย่างต่อเนื่องจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมในสมัยนั้น และผู้ซึ่งเป็นไอดอลของเขาด้วย ซึ่ง แลมพาร์ด มักจะส่ง เจมส์ ลงเล่นในตำแหน่งวิงแบ็ค และ ฟลูแบ็ค อยู่เสมอตลอดฤดูกาล และเขาก็โชว์ฟอร์มออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้กับต้นสังกัดไป 39 นัด ทำประตูไปได้ 2 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์
ถัดมาในฤดูกาล 2020-21 เจมส์ สามารถทำประตูแรกในศึก พรีเมียร์ลีก ได้ในเกมที่พบกับ สโมสรไบรท์ตัน เขาทำประตูที่ 2 ให้กับทีมได้ด้วยการซัดบอลในระยะไกลแบบเต็มเท้า บอลเสียบช่องสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงาม ซึ่ง สิงห์บลู สามารถเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 3-1 ซึ่งเป็นประตูแรกและประตูเดียวของเขาในฤดูกาลนี้

โดยในยุคของ แลมพาร์ด เขามามักได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในตำแหน่งแบ็คขวาอยู่เสมอ ซึ่งทำให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ต้องนั่งในเก้าอี้ตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสุดท้ายเมื่อ แลมพาร์ด โดนปลด และเข้าสู่ยุคของ โธมัส ทูเคิล เขาก็ยังได้รับโอกาสจากกุนซือคนใหม่ให้ลงสนาม โดยในครั้งนี้ เขาได้ลงเล่นร่วมในแผงหลังกับ อัซปิลิกวยต้า อีกด้วย ซึ่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2021 เชลซี ต้องแข่งขันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศกับ สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เจมส์ นั่นเองคือแข้งกำลังหลักของทีม ทำให้ ทัพสิงห์บลู เอาชนะ ทัพเรือใบสีฟ้า มาได้ 1-0 ซึ่งทำให้ทีมได้เป็นแชมป์ในรายการนี้ เป็นสมัยที่ 2 อีกด้วย โดยในฤดูกาลนี้ เจมส์ ลงสนามไปทั้งหมด 49 นัด ทำประตูไปได้ 1 ประตู และอีก 5 แอสซิสต์ด้วยกัน

ถัดมาในฤดูกาล 2021-22 ฤดูกาลปัจจุบัน เจมส์ ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก ทูเคิล ให้ลงเล่นในตำแหน่ง แบ็คขวา อยู่เสมอ เพื่อเติมเกมรุกที่เผ็ดร้อน และเติมเกมรับที่ดุเดือดให้กับทีม ซึ่งประตูแรกของ เจมส์ ในฤดูกาลนี้ เกิดขึ้นในศึก พรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับ สโมสรอาร์เซนอล โดยเขาทำไปได้ 1 ประตู และแอสซิสต์ส่งบอลให้กับ ลูกากู ยิงเพิ่มได้อีก 1 ประตู จนทำให้ ทัพสิงห์บลู สามารถเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-0
แต่แล้วในศึก พรีเมียร์ลีก เกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ เขาสามารถทำแอสซิสต์ได้อีกครั้ง และเมื่อเขาพยายามสกัดบอลในช่วงท้ายครึ่งแรก จนบอลกระเด็นไปโดนแขนของเขา ซึ่งผู้ตัดสินดูภาพ VAR และชี้เป็นจุดโทษ และแจกใบแดงให้กับ เจมส์ ซึ่งสุดท้าย ทัพหงส์แดง ก็สามารถยิงประตูตีเสมอได้ และเสมอกัน 1-1 ในที่สุด ซึ่งเป็นใบแดงที่แฟนบอลต่างกังขากันอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้ฟอร์มของเขาตกไป จนกระทั่ง เขาได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง และทำประตูเพิ่มได้อีก 1 ประตู ในเกมที่พบกับ สโมสรนอริช ซิตี้ โดย เชลซี สามารถเอาชนะอย่างขาดลอย ได้ด้วยสกอร์ 7-0 และเกมถัดไป เขาก็ทำประตูได้อีกอย่างต่อเนื่องถึง 2 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ ในเกมที่พบกับ สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จนทีมเอาชนะมาได้ 3-0

ซึ่งในปัจจุบัน เข้าสู่เดือนพฤษภาคม ปลายฤดูกาล 2021-22 แล้ว เจมส์ ลงเล่นให้กับทีมไปทั้งหมด 33 นัด สามารถทำประตูไปได้ 6 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ด้วยกัน ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่า รีซ เจมส์ แข้งกองหลังจอมปะทะ ตัวแรงของ เชลซี จะสามารถพาทีมไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต
