
ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์วัย 19 ดาวรุ่ง ฝีเท้าเฉียบ แข้งอนาคตและความหวังใหม่ของ สโมสรลิเวอร์พูล ที่ในช่วงหลังได้รับความไว้วางใจจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง จากความเก่งกาจที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจตั้งแต่สมัยลงเล่นให้กับทีมเยาวชน ทำให้เขาได้ลงสนามตั้งแต่อายุยังน้อย จนขึ้นแท่นกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในการแข่งขันศึก พรีเมียร์ลีก อีกด้วย
ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ หรือชื่อเต็มๆของเขาคือ ฮาร์วีย์ แดเนียล เจมส์ เอลเลียตต์ (Harvey Daniel Jame Elliott) เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน ในปี 2003 เกิดในเมืองเชิร์ตซีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้เขาจะเกิดที่เมืองหลวง แต่เขาและครอบครัวก็เป็นแฟนบอลของ ลิเวอร์พูล ตัวยง ชนิดที่ว่าเข้มข้นในสายเลือด โดยเขาเลือกที่จะปฏิเสธทีมดัง ยักษ์ใหญ่มากมาย และเลือกที่จะมาค้าแข้งใน ถิ่นแอนฟิลด์ เพียงที่เดียวเท่านั้น และเขาเคยปฏิเสธสโมสรยักษ์ใหญ่จากสเปนอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เขาไม่ต้องการร่วมทีมกับ เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมราชันชุดขาวในขณะนั้น เนื่องจากในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2018 เขาเป็นคนทำให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถเล่นต่อได้ ซึ่งเขาเคยได้ให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอตเลติก ว่า “ รามอส ได้ทำให้ ซาลาห์ บาดเจ็บถึงขั้นเล่นต่อไม่ได้ ถึงขนาดนั้น ผมไม่ไปที่ มาดริด อย่างแน่นอน ”
ดาวรุ่งวัย 19 ผู้มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นไอดอลในการเล่นฟุตบอล เขามีทักษะการเล่นที่เกินอายุมากๆ ด้วยวิสัยทัศน์ และ ความสงบนิ่งของเขาในขณะที่ต้องลงแข่งในรายการสำคัญ จึงส่งผลให้เขามีผลงานที่น่าประทับใจอยู่เสมอ และได้ขึ้นแท่นสู่ดาวรุ่งอนาคตไกลที่น่าจับตามองอย่างมาก

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กับเส้นทางลูกหนังในช่วงเริ่มต้นกับทีมเยาวชน
ในช่วงแรกเริ่ม ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เข้าเป็นนักเตะในทีมเยาวชนของ สโมสรควีนส์ ปาร์ก เรนเจอร์ส สโมสรใน ลีกแชมเปี้ยนชิพ ที่ตั้งอยู่ใน กรุงลอนดอน บ้านเกิดของเขา หลังจากนั้นได้ไม่นานเขาได้ย้ายไปยัง สโมสรฟูลัม สโมสรใน ลีกอีเอฟแอลแชมเปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน ที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนเช่นกัน และ ณ ที่แห่งนี้ ทำให้เอลเลียตต์ผู้มีพรสวรรค์อยู่แล้วได้ฉายแววออกมาอย่างโดดเด่น โดยในปี 2011 ในขณะที่เขาอายุได้เพียง 8 ขวบ เข้าได้รับความไว้วางใจจากทีมสตาฟโค้ช ให้เป็นนักเตะในทีมเยาวชน ในรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี (U-10) และสามารถสร้างผลงานที่น่าทึ่ง ด้วยการทำประตูให้กับทีมได้ถึง 9 ประตู ในเกมเพียงนัดเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นในปี 2017 ด้วยวัยเพียง 14 ปี เขาสามารถได้เลื่อนขั้นเข้าสู่ทีมเยาวชนของ สโมสรฟูลัม ในรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี (U-18) และถัดมาในปี 2018 เขาสามารถติดทีมเยาวชนของ ทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี (U-15) ซึ่งเขาก็ได้ทำผลงานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยลงเล่นไปทั้งหมด 4 นัด แต่สามารถทำประตูไปได้ถึง 5 ประตูด้วยกัน และในแค่ปีเดียว เขาสามารถได้เลื่อนขั้นสู่ทีมเยาวชน ทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี (U-16) และในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี (U-17) ตามลำดับอีกด้วย

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กับเส้นทางลูกหนังในทีมชุดใหญ่
จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของ เอลเลียตต์ ตลอดปี 2018 ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจ และได้เลื่อนขั้นเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของ สโมสรฟูลัม ได้ในที่สุด ด้วยอายุเพียง 15 ปี 174 วัน และถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ ในประวัติศาสตร์ของ ฟูลัม อีกด้วย โดยเขาลงสนามในศึก คาราบาว คัพ รอบที่ 3 นัดที่ ฟูลัม เอาชนะ มิลล์วอลล์ 3-1 โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 81 เมื่อเดือนกันยายน 2018
ซึ่งหลังจากนั้นได้ไม่นาน เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของฟูลัม ในศึก พรีเมียร์ลีก นัดที่ ฟูลัม พบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน และพ่ายแพ้ให้กับ หมาป่า ไปด้วยสกอร์ 0-1 โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 88 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2019 โดยในครั้งนี้ เขาได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยการเป็น นักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในเกม พรีเมียร์ลีก ด้วยวัยเพียง 16 ปี 30 วัน ทำให้เขาเป็นนักเตะดาวรุ่งที่อายุน้อย ที่เนื้อหอมสุดๆ โดยได้รับการหมายตาจากสโมสรยักษ์ใหญ่หลายเจ้า อาทิ ลิเวอร์พูล , ปารีส-แซงต์ แฌร์แมง , เรอัล มาดริด เป็นต้น

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กับเส้นทางลูกหนังที่ แอนฟิลด์ กับสโมสรลิเวอร์พูล สโมสรที่เขารักและหวงแหน
จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ในปี 2019 นั่นเอง เอลเลียตต์ ได้ตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งยังถิ่น แอนฟิลด์ กับ สโมสรลิเวอร์พูล ทีมโปรดที่เขารัก และในทันทีที่เข้ามาเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับ ทัพหงส์แดง ในศึก คาราบาว คัพ นัดที่พบกับ มิลตัน คีนส์ ดอนส์ และได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเขากลายเป็น นักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ลงสนามเป็นตัวจริงของ สโมสรลิเวอร์พูล ด้วยวัยเพียง 16 ปี 174 วันเท่านั้น

และในเดือนมกราคม ปี 2020 เขาได้ลงเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ให้กับ หงส์แดง เป็นครั้งแรก โดยลงเป็นตัวสำรองแทน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไอดอลของเขา ซึ่งในนัดนั้น ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะ เชฟฟีลด์ ยูไนเต็ด มาได้ 2-0 โดยในฤดูกาลแรกที่แอนฟิลด์ของ เอลเลียตต์ (2019-20) เขาได้ลงสนามรับใช้ ทัพหงส์แดง ทั้งหมด 8 นัดในทุกรายการด้วยกัน

ซึ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ 2020-21 เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ส่งตัวให้เข้าไปเล่นให้กับ สโมสรแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส สโมสรในลีกแชมเปี้ยนชิพ ด้วยสัญญายืมตัว เพื่อหาประสบการณ์ และเพื่อให้เขาได้มีโอกาสลงสนามมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในขณะนั้น พื้นที่ตัวจริงที่ แอนฟิลด์ มีนักเตะคนสำคัญลงเล่นเต็มอัตรา และด้วยความเก่งกาจของ เอลเลียตต์ เขาสามารถช่วงชิงตำแหน่งตัวจริงใน ทัพกุหลาบไฟ ได้อย่างสำเร็จในทันที และสร้างผลงานไว้อย่างดุเดือดด้วยการลงสนาม 41 นัด ทำประตูไปได้ 7 ประตู และอีก 11 แอสซิสต์ โดยเขามีเปอร์เซ็นต์ในการจ่ายบอลสำเร็จถึง 81 % เลยทีเดียว

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ปี 2021 ในฤดูกาล 2021-22 สโมสรลิเวอร์พูล ได้ตัดสินใจต่อสัญญาในระยะยาวกับ ดาวรุ่งฟอร์มเฉียบวัย 18 ปี จากผลงานที่โดดเด่น ที่เขาได้โชว์ศักยภาพกับทีมในแชมเปี้ยนส์ชิพ และ คล็อปป์ ก็ได้ส่งให้ เอลเลียตต์ ลงสนามในทุกนัด 4 นัดแรกติดต่อกันในนามตัวสำรอง จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม ปี 2021 คล็อปป์ ได้ส่งให้ เอลเลียตต์ ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรก และลงสนามจนครบ 90 นาทีอีกด้วย ซึ่งในนัดนั้น ลิเวอร์พูล เป็นเจ้าบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เบิร์นลีย์ และเอาชนะทีมเยือนมาได้ 2-0

เอลเลียตต์ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงติดต่อกัน 3 นัด โดยในนัดที่ 3 ที่ต้องเจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เขาได้โดน ปาสกาล สเตร๊าจ์ กองหลังของยูงทอง เข้าสกัดบอลจนทำให้ เอลเลียตต์ ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เนื่องจาก ข้อเท้าหลุด และต้องทำการผ่าตัด ในช่วงเดือนกันยายน และพักฟื้นในระยะยาวนานถึง 5 เดือนด้วยกัน ซึ่ง จิม ม็อกซัน แพทย์ประจำสโมสร ได้กล่าวถึงอาการบาดเจ็บของเขาว่า “ การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ต้องพักฟื้นและทำกายภาพบำบัดในระยะยาว และอาจจะกลับมาลงสนามได้ในช่วงท้ายฤดูกาล 2021-22 ”

ซึ่งเขาก็สามารถกลับมาลงสนามได้ในช่วงท้ายฤดูกาลจริงๆ โดย เอลเลียตต์ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ในปี 2022 ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 4 นัดที่พบกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และสร้างความฮือฮาสุดๆ เมื่อเขาลงสนามไปได้ไม่นาน และสามารถบุกขึ้นทำประตูที่ 3 ให้กับทีมจนเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 3-1 ช่วยให้ ทัพหงส์แดง สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปของ เอฟเอ คัพ ได้อย่างสำเร็จ และในการทำประตูครั้งนี้ ยังเป็นประตูแรกที่ เอลเลียตต์ ทำได้ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กับ ลิเวอร์พูล อีกด้วย

ซึ่งจากนั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี 2022 เขาได้ลงแข่งขันนัดสำคัญนั่นก็คือ ศึกคาราบาว คัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศกับ สโมสรเชลซี และเขาก็เป็นส่วนสำคัญที่พา ทีมหงส์แดง เอาชนะ เซลซี ในการดวลจุดโทษมาได้ด้วยสกอร์ 11-10 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ในรายการนี้ของ ทัพหงส์แดง เป็นสมัยที่ 9 อีกด้วย
หลังจากนั้น เอลเลียตต์ ก็กลายเป็นแข้งดาวรุ่งที่กำลังมาแรง ที่ได้ลงสนามให้กับทีมรักของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขามีบทบาทอย่างมาก แม้เขาจะมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ ด้วยความเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี บวกกับความทุ่มเทให้กับที่รักของเขา ทำให้เขาได้กลายเป็นที่รักของแฟนบอล รวมไปถึงสตาฟ และ นักเตะรุ่นพี่ในทีมอีกด้วย ซึ่งในขณะนี้ ทีมลิเวอร์พูล ก็กำลังทำผลงานมาได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างมาก และกำลังลุ้นว่าในฤดูกาล 2021-22 นี้ ทัพหงส์แดง จะสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 4 แชมป์หรือไม่
ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กับการลงเล่นในระดับทีมชาติ
ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ โดยเขาสามารถมีชื่อติด ทีมเยาวชนของทีมชาติอังกฤษ ในปี 2018 ตั้งแต่เขามีอายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น โดยครั้งแรกกับการรับใช้ทีมชาติ เขาได้ฃงเล่นให้กับทีมเยาวชนของ ทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี (U-15) ซึ่งเขาก็ได้ทำผลงานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมและโดดเด่น ซึ่งเขาลงเล่นไปทั้งหมด 4 นัด และสามารถทำประตูได้ 5 ประตูด้วยกัน และในแค่ปี 2018 ปีเดียว เขาสามารถได้เลื่อนขั้นสู่ทีมเยาวชน ทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี (U-16) และในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี (U-17) ตามลำดับอีกด้วย

จากนั้นในปี 2021 เขามีชื่อติดในทีมเยาวชนทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี (U-21) แต่ก็ต้องถอนตัวออกจากทีม เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการลงแข่งขันให้กับ สโมสรลิเวอร์พูล ในนัดที่พบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และต้องทำการผ่าตัดและรักษาตัวนานกว่า 5 เดือน
จนกระทั่งในปี 2022 เขาสามารถกลับมาลงสนามได้ตามปกติ และติดทีมเยาวชนทีมชาติอังกฤษ ในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปีอีกครั้ง ในช่วงเดือนมีนาคม เขาได้ลงแข่งขันในรายการ ยูฟ่า โยโรเปี้ยน รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี แชมเปี้ยนส์ชิพ (UEFA European Under-21 Championship) กับ ทีมชาติอันดอร์รา

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กับ รางวัลและเกียรติประวัติของเขา
สโมสรลิเวอร์พูล
• รางวัลชนะเลิศรายการ ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ในปี 2019
• รางวัลชนะเลิศรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ในปี 2019
• รางวัลชนะเลิศในรายการ อีเอฟแอล คัพ หรือ คาราบาว คัพ ในฤดูกาล 2021-22
